แบล็คแจ็ค สุดยอดเกมไพ่ เกมคาสิโนแห่งยุคสมัยที่เหล่านักพนันต่างให้ความเห็นตรงกันว่าเป็นเกม คาสิโนออนไลน์ ที่ได้รับความนิยมสูงมากจากทั่วโลก แบล็คแจ็คนั้นเหมาะสำหรับนักพนันที่ชอบวางแผน และยังต้องแก้ปัญหาเฉพาะหน้า BLACKJACK เป็นเกมคาสิโนที่มีการเดิมพันต่อสู้ด้วยสมองและเทคนิคด้านคณิตศาสตร์ว่าด้วยเรื่องความน่าจะเป็น เกมไพ่แบล็คแจ็ค นี้ช่วยพัฒนาสมองแล้วยังสามารถสร้างกำไรให้กับเราได้อย่างมหาศาลอีกด้วย แบล็คแจ็คจึงเป็นเกมส์ที่มีเสน่ห์และเป็นที่นิยมไปทุกคาสิโนทั่วโลก แบล็คแจ็คออนไลน์ ยังเป็นเกมอีกชนิดที่ต้องเล่นให้ตัวเลขหน้าไพ่รวมกันให้ใกล้เคียง 21 คะแนน มากที่สุดหรือให้ครบ 21 คะแนน จึงจะชนะเกมๆนั้น หากหน้าไพ่รวมกันแล้วเกิน 21 คะแนน ถือว่าแพ้ทันที และในวันนี้ทางเราจะมาสอนวิธีการ เล่นแบล็คแจ็ค ว่าเล่นกันอย่างไร แต่ก่อนที่จะเล่นได้ต้องรู้ค่าของหน้าไพ่ โดยจะมีดังนี้
1. A มีแต้มเป็น 1 หรือ 11 ก็แล้วแต่ไพ่ในมือของท่านจะมีแต้งรวมเท่าไหร่ หากว่าคุณได้ไพ่ A กับ 2 จะได้ผลรวมเท่ากับ 13 ซึ่งหากจั่วไพ่เพิ่มแล้วได้ตั้งแต่ 9 ขึ้นไป ผลรวมของไพ่โดยปกติจะเป็น 22 ซึ่งเกิน 21 ไพ่ A จะกลายเป็นแต้ม 1 ทันทีเพื่อไม่ให้ผลรวมเกินเกิน 21
2. ไพ่ 2-10 มีค่า ตามหน้าไพ่1. วิธีเล่น แบล็คแจ็คออนไลน์ วันนี้ ทางเราแนะนำให้เล่นของ VIVO Casino คาสิโนที่มีการ Live สดตลอด 24 ชม ยังมีดีลเลอร์ที่ท่านชื่นชอบให้เลือกได้อีกด้วย VIVO Casino จะต้องเติมเครดิตของท่านให้เพียงพอก่อนทำการเล่น
2. หลังจากที่เข้ามาใน VIVO Casino แล้วให้ทุกคนเลือกที่เกม แบล็คแจ็ค (BLACKJACK) ซึ่งจะอยู่ด้านบนตรงกลางหน้าจอพอดี
3. เลือกห้องดีลเลอร์ที่ชอบทางคาสิโนของเรามีห้องของ ไพ่แบล็คแจ็ค ให้เลือกอย่างมากมาย
4. การลงเดิมพันในห้องทุกท่านสามารถเลือกลงเดิมกัน เกมส์แบล็คแจ็ค ได้ตั้งแค่ 50 จนถึง 1 แสนเลยทีเดียว
1. เจ้ามือแจกไพ่ให้ผู้เล่นคนละใบก่อนแล้วค่อยแจกให้ตัวเอง โดยผู้เล่นจะได้ไพ่คนละ 2 ใบ ส่วนเจ้ามือได้ 1ใบหรือหงาย 1 ใบ คว่ำ 1 ใบ(ไพ่ของผู้เล่นต้องคว่ำเสมอ)
2. หากไพ่ทั้ง 2 ใบของผู้เล่นรวมแล้วแต้มบนไพ่ยังห่างไกลจาก 21 มากสามารถเรียกไพ่ได้ไม่จำกัดจำนวน แต่หากแต้มบนไพ่เกิน 21 แพ้ทันที (เรียกไพ่ทีละคนตามลำดับ เจ้ามือเรียกไพ่เป็นคนสุดท้าย)
3. กฎของแบล็คแจ็ค เจ้ามือจะเรียกไพ่ให้ถึง 17 แต้มเป็นอย่างต่ำ ถ้าผู้เล่นได้แต้มตั้งแต่ 16 ลงมาถือว่าแพ้เจ้ามือ
4. หากผู้เล่นพอใจที่ 16 สามารถหยุดได้ รอลุ้นให้เจ้ามือได้แต้มเกิน 21 ผู้เล่นก็จะเป็นฝ่ายชนะ
Blackjack (แบล็คแจ็ค) : การได้แต้ม 21 ทันทีเมื่อแจกไพ่สองครั้งแรก
Hit : การเรียกไพ่เพิ่มเพื่อให้เข้าใกล้ 21 แต้มให้มากที่สุด
Stand : การพอใจในไพ่ที่ได้มา (ชื่อเรียกอื่น ๆ: Stay, Stick, Stand pat)
Double down (ใช้ได้เมื่อตอนได้ไพ่ที่แจกมา 2 ใบแรกเท่านั้น) : เป็นการลงเดิมพันเพิ่มขึ้น 100% ตามกฎของแบล็แจ็ค ผู้เล่นวางเงินเดิมพันทับเส้นกรอบสี่เหลี่ยม กรณีนี้เรียกไพ่เพิ่มได้ 1 ใบเท่านั้นเพื่อลุ้นว่าไพ่ใบที่สามจะเป็นอะไร
Split (ใช้ได้เมื่อตอนได้ไพ่ที่แจกมา 2 ใบแรกเท่านั้น) : หากผู้เล่นได้ไพ่คู่ เช่น ไพ่ 5 สองใบ เจ้ามือจะถามว่าต้องการ Split? ไหม ถ้าตอบตกลงผู้เล่นก็สามารถเล่นไพ่ 2 ชุดได้ในเวลาขณะนั้น
Surrender (ใช้ได้เมื่อตอนได้ไพ่ที่แจกมา 2 ใบแรกเท่านั้น) : ในบางเกมผู้เล่นสามารถขอยอมแพ้ได้ และได้เงินพนันกลับคืนมาแค่ครึ่งเดียว
Insurance (ใช้ได้เมื่อตอนได้ไพ่ที่แจกมา 2 ใบแรกเท่านั้น): หากไพ่ใบแรกของเจ้ามือคือ A เจ้ามือจะถามว่าทำ Insurance? ไหม ถ้าทำก็เพิ่มเงินอีกครึ่งของวงเงินเดิมพัน (เช่น เงินเดิมพัน 10 เงิน Insurance คือ 5) เพราะไพ่ A ของเจ้ามือถือว่ามีความเสี่ยงสูงที่จะชนะ หากเจ้ามือได้แบล็คแจ็คผู้เล่นจะได้เงินส่วนที่ทำ Insurance เพิ่มกลับมา ในทางกลับกันถ้าเจ้ามือแพ้จะริบเงินที่ทำ Insurance ไป
1. เริ่มต้นการเล่นแบล็คแจ็คนั้น ดีลเลอร์จะทำการแจกไพ่ทั้ง 2 ใบให้กับผู้เล่นเพื่อนที่จะให้ ทางผู้เล่นประเมินไพ่ของตนเองว่า แต้มที่ได้มีแต้มสูงเกินไปหรือป่าว หรือว่าแต้มเท่าก็เพียงพอในการเล่นแล้ว เกมแบล็คแจ็ก นั้นจะวัดผลการแพ้-ชนะก็ต่อเมื่อมีฝั่งใดฝั่งหนึ่งที่มีแต้มใกล้เคียงกับ 21 คะแนน ถ้าไหนที่ใกล้ 21 คะแนนกว่าจะเป็นผู้ชนะไป
2. ขั้นต่อมาเราจะพูดถึงการจั่วไพ่ หรือ การขอไพ่เพิ่มนั่นเอง หากแต้มที่เราได้จากไพ่ 2 ใบแรกที่ดีลเลอร์แจกนั้นมันน้อยเกินไป ผู้เล่นสามารถที่จะขอเรียกไพ่เพิ่มจากดีลเลอร์ได้ เรื่อย ๆ จนกว่าท่านจะพอใจ การที่เราขอไพ่แบบนี้มีชื่อเรียกว่า Stand (ถึงแม้จะมีข้อดีที่สามารถขอไพ่ได้เรื่อย ๆ แต่ก็ยังมีข้อควรระวังคือ หากท่านเรียกไพ่จากทางดีลเลอร์มากเกินไป ท่านอาจจะไม่ได้ไพ่ที่มีแต้มตามต้องการ แต้มที่ได้มาอาจจะเป็นจนทำให้แต้มของท่านนั้น Over ได้ และจะทำให้ท่านแพ้ไปในทันที)
3. เรามารู้จักกับการได้ แบล็คแจ็กกันดีกว่า การที่จะได้แบล็คแจ็คนั้นคืออะไร แบล็คแจ็คนั้นมีเงื่อนไขง่าย ๆ อยู่ว่า จะต้องได้ไพ่ 2 ใบแรกที่ได้จากดีลเลอร์จะต้องได้ 21 แต้มเท่านั้นถึงจะเรียกว่าเป็น แบล็คแจ็ก ถ้าหากเป็นการได้ไพ่จากการขอเรียกไพ่เพิ่ม จะไม่ถือว่าเป็นการได้ Blackjack และการได้แบล็คแจ็คนั้นยังมีอัตรการจ่ายเงินสูงถึง 1.5 เท่าอีกด้วย เช่นถ้าท่านวางเงินเดิมพัน 100 บาท ท่านจะได้เงินรางวัลกลับมา 150 บาทนั่นเอง
4. เทคนิคการแยกไพ่แบล็คแจ็ค เทคนิคหรือรูปแบบการเดิมพันแบบนี้จะมีความเสี่ยงในการเดิมพันข้อนข้างสูง กว่าแบบปกติ เทคนิคการแยกไพ่ เป็นการที่เราได้ไพ่ 2 ใบจากดีลเลอร์เหมือนกัน เราอาจจะใช้เทคนิคนี้ เพื่อแยกไพ่ออก เพื่อเพิ่มเงินในการเดิมพันออกเป็น 2 ขา ทำให้เราวางเงินเดิมพัน และทำกำไรได้มากขึ้น ยกตัวอย่างเช่น เราได้ไพ่ 2 ตอนเริ่มต้นเป็น K 2 ใบ จะมีค่าเท่ากับใบละ 10 คะแนน แล้วเรามีเงินเดิมพัน 500 บาท เราต้องการแยกไพ่เพื่อเพิ่มเงินเดิมพันจะเท่ากับ K ใบที่ 1 วางเงินเดิมพัน 500 บาท ส่วน K ใบที่ 2 วางเงินเดิมพัน 500 บาท และเกมก็จะดำเนินไปตามปกติ แต่ถ้าหากว่า เราได้ 21 คะแนนจากการแยกไพ่ จะไม่ถือว่าเป็นการได้แบล็คแจ็ค เนื่องจาก 21 คะแนนที่ได้มาไม่ได้มาจาก ไพ่ 2 ใบแรก แต่ถ้าหากเจ้ามือได้ 21 คะแนนเหมือนกัน จะถือว่าเราเป็นฝ่ายแพ้ทันที
5. เทคนิคการเดิมพันแบบ 2 เท่า เทคนิคนี้เป็น รูปแบบการเดิมพัน แบล็คแจ็กที่มีการต่อยอดมาจากเทคนิคการแยกไพ่ โดยไพ่ที่ถูกแยกนั้นจะสามารถวางเงินเดิมพัน ได้มากขึ้น แต่จะมีเงื่อนไขอยู่ว่า ท่านสามารถเรียกไพ่จากทางดีลเลอร์ได้เพียงอีกแค่ 1 ใบเท่านั้น ไม่สามารถเรียกไพ่เกินนี้ได้
6. เทคนิคการประกันไพ่ เป็นเทคนิครูปแบบใหม่ที่ให้ผู้เล่นได้มีการประเมินไพ่ของทางดีลเลอร์ว่าไพ่ใบแรกของทางดีลเลอร์เป็นไพ่ที่มีแต้มดีหรือเปล่า เป็นไพ่ที่มีโอกาส จะเป็นแบล็คแจ็คได้ไหม เราสามารถวางเดินพันเป็นเงินประกันไพ่ได้ แต่สามารถลงเดิมพันได้แค่ครึ่งนึงของเงินเดิมพมันของเรา ยกตัวอย่างเช่น ในรอบนี้เราต้องการวางเงินเดิมพัน 500 บาท เราจะสามารถวางเงินประกันไพ่ของดีลเลอร์ได้ แค่ 250 บาทเท่านั้น แต่ถ้าหากว่าทางดีลเลอร์เกิดได้ แบล็คแจ็คขึ้นมาจริงๆ เราจะได้อัตราการจ่ายเงินที่วางเดิมพันไปถึง 2 เท่า แต่ว่าถ้าหากเจ้ามือไม่ได้ แบล็คแจ็คขึ้นมา เงินที่เราลงไปนั้นจะถือว่าเสียเงินฟรี และเกมก็จะดำเนินตามขั้นตอนต่อไปจนจบ